เขียนโดย Chaichan Noochangphuak ที่ 20:46 ป้ายกำกับ: คำทำนายภัยพิบัติโลก

สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก
คำทำนายอนาคตของโลก
โดยอาจารย์เลือง มินห์ ด๋าง

เมื่อ สิ้นศตวรรษที่ 20 นี้ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง สลับสับสนกันอย่างยุ่งเหยิงไฟฟ้าบนโลกจะขัดข้อง การติดต่อสื่อสารรับรู้กันทั่วโลกโดยอิเลคทรอนิค จะใช้การไม่ได้ภัยพิบัติหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้น คนที่เคยสนุกสุขสบายจะทนต่อสภาวะนั้นไม่ได้ เดือดร้อนเรื่องที่พัก อาหาร เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ผู้คนจะเกิดความเครียด คลุ้มคลั่ง ปั่นป่วนกันไปหมดทั้งโลก

ในวันนั้นน้ำ 1 ลิตรจะมีค่ามากกว่าทองคำ 1 กิโลกรัม และอาจจะไม่สามารถแลกซื้อได้ อาหารขาดแคลนมาก นับเป็นภัยอันตรายยิ่งกว่าสงครามใดๆ ภัยนี้จะคุกคามไปทั่วโลก ผู้คนที่ทนต่อสภาวะการณ์ดังกล่าวไม่ได้จะต้องตายไป และประมาณว่าอาจตายกว่า 70 เปอร์เซนต์ทั้งโลก

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้าว่า จะมีวิธีใดที่จะถนอมอาหารเอาไว้ใช้ได้นานๆ และจะหาที่เก็บที่เหมาะสม เพื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้น

สำหรับ ประเทศไทย จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญทางด้านจิตวิญญาณสูง ต่อไปมนุษย์ที่เหลืออยู่เกือบทั้งโลกจะต้องมาพึ่งประเทศไทย ซึ่งจะยังคงมีพืชพันธุ์ธัญญาหารและสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์อยู่ และพลเมืองมีเมตตาธรรม

หน ทางแก้ไขล่วงหน้านั้น นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และรัฐบาลต่างๆ ต้องรับรู้ถึงภัยพิบัติครั้งนี้ และหาทางป้องกันแก้ไข ต้องพยายามให้คนที่มีฐานะดีช่วยเหลือคนยากคนจน เป็นการพัฒนาจิตวิญญาณให้ดีขึ้น จิตวิญญาณที่ดีจะช่วยคุ้มครองตัวเราไว้

สำหรับ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นหลังจากศตวรรษที่ 20 นี้ขอให้ผู้มีวิชาพลังจักรวาลได้ช่วยกันนั่งสมาธิ อธิษฐาน ขอให้เบื้องบนรับรู้การแก้ปัญหาของเรา และให้ความช่วยเหลือ ซึ่งคงจะได้ผลเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เราได้เคยช่วยกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หรือไฟไหม้ครั้งมโหฬาร การรวมพลังกันอย่างตั้งใจและแน่วแน่ เช่นนี้คงจะช่วยผ่อนคลายวิกฤตการณ์ร้ายครั้งนี้ ให้เบาบางลงไปได้บ้าง

( แหล่งที่มา หนังสือพลังจักรวาลรักษาโรค โดยนพนนท์ สำนักพิมพ์เรือนบุญ 10/1 หมู่ 7 ซอยบางกระสอบ 2 ต.บางกระสอบ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ )

พบปะกันครั้งนี้ อาจารย์พี่จรูณให้ความรู้เรื่อง..”นิมิตก่อนตาย”.. สไตล์ชาวพลังจักรวาล

..ว่าเมื่อรู้ตัวว่าหมดอายุขัย หรือต้องตายแน่ๆ แบ่งออกเป็นระดับดังชะนี้

ในระดับชั้นเรียน 18 ลงมา ..มีทางเลือกดังนี้คือ ..ไปเกิดได้ทันที..หรือ ขอพักก่อนยังไม่ไปเกิด..ขอไปท่องเที่ยว ..ไปเยี่ยมญาติ..กลับไปหาเถื่องเด๋ก่อนแล้วค่อยว่ากัน..

ส่วนในระดับชั้นเรียน 19 ถึง 20 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของวิชานี้ .. อาจารย์ด๋างเคยสอนว่าเมื่อเรามีความสามารถในการสถิตได้ ให้เราเลือกหลานที่ดูดีเอาไว้หลังจากเราเสียชีวิต หลานของเราจะเป็นผู้ที่มีความสามารถ จะช่วยให้จิตวิญญาณของเขาสูงขึ้น เฉลียวฉลาด และเก่งยิ่งขึ้น

อาจารย์จะอธิบายให้ฟัง
สมมติว่าคุณต้องการทำงานชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ คุณต้องการทำงานวิจัยของคุณให้เสร็จ แต่เมื่อคุณทำงานมาถึงครึ่งทางนั้น คุณหยุดคุณไม่ทำต่อไป คุณล้มเลิกโครงการนั้นในอดีต พวกคุณก็เป็นเช่นเดียวกัน สมัยที่คุณเป็นชาวแอตแลนติสนั้น พวกคุณพยายามค้นหาทาง ที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ แต่พวกคุณทำไม่สำเร็จ วิธีการที่คุณใช้ ค้นหา เป็นวิธีที่พาคุณไปสู่ทางตัน และบัดนี้พวกคุณได้กลับมาเกิดใหม่ กลับมาเกิดเพื่อที่จะปฎิบัติภารกิจที่ทำค้างไว้ในอดีตให้สำเร็จ

ยกตัวอย่าง

พวกคุณบางคนอาจจะเคยมีอาชีพเป็นหมอ แต่เพราะอาชีพหมอเป็นอาชีพที่น่าเบื่อ ดังนั้นคุณจึงเปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อค้า แต่ความจริงแล้ว คุณได้อาสามาเกิดเป็นหมอ และสัญญาว่าจะปฎิบัติอาชีพ 40 ปี แต่เนื่องจากอาชีพหมอน่าเบื่อ และเงินก็ไม่ดี คุณจึงเลิกอาชีพหมอแล้วไปเป็นพ่อค้า ดังนั้น เมื่อคุณได้กลับมาเกิดใหม่ในชาติต่อไป คุณต้อง กลับมาเป็นหมออีก 20ปี เพื่อที่จะปฎิบัติภารกิจที่ทำค้างไว้ในอดีตให้ครบ 40 ปี ตามพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน นี่แหละคือกรรม กรรมคือภาระกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จบริบูรณ์ กรรมเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก และไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ อาจารย์จะพยายามยกตัวอย่าง เพื่อให้พวกคุณเข้าใจง่ายขึ้น

ยกตัวอย่าง
สมมุติว่าคุณเป็นประธานของธนาคารแห่งหนึ่ง ในฐานะประธานของธนาคาร คุณได้อนุมัติเงินกู้ ให้ลูกค้าหลายราย โดยมีระเบียบบังคับให้ลูกค้าเหล่านั้นใช้หนี้เงินกู้นั้นคืนจนครบ แต่ลูกหนี้บางคนก็เสียชีวิตก่อนที่จะใช้หนี้หมด เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็ต้องบังคับยึดทรัพย์ของลูกหนี้ที่เสียชีวิตนั้น แล้วนำไปขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาใช้คืนธนาคารจนครบ เมื่อคุณให้คนอื่นกู้เงินไป คุณก็ต้องบังคับเอาหนี้นั้นคืนจนครบ หรือ เมื่อคุณไปกู้เงินเขามา คุณก็ต้องใช้หนี้เขาจนครบเช่นกัน ไม่ใช่ว่าถ้าคุณตายไป คุณจะไม่ต้องใช้หนี้นั้นแล้ว คุณต้องได้ใช้หนี้นั้นแน่น ไม่ได้ใช้ในชีวิตนี้ก็ต้องใช้ในชีวิตหน้าแน่นนอน นั้นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมบางคนเกิดมาแล้วมีชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็มีทรัพย์สมบัติ ให้ใช้มหาศาล เหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด พวกเขาไม่ต้องทำอะไรก็มีคนเอาเงินมาให้ใช้อย่างไม่อั้น
ไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่คนเอาเงินมาให้ที่เป็นเช่นนี้เพราะในอดีตชาติ พวกเขาได้ให้ผู้อื่นยืมเงินทองไปเป็นจำนวนมาก มาในชาตินี้ เหล่าลูกหนี้ทั้งหลายในอดีตชาติ ที่ยังใช้หนี้เขาไม่หมด จึงกลับมาใช้หนี้ต่อ ดังนั้นในชาตินี้ บรรดาเจ้าหนี้ในอดีตชาติจึงสุขสบาย มีเงินมีทองใช้อย่างฟุ่มเฟือย อาจารย์ยกมาเพียงสอง
ตัวอย่าง ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีก แต่อาจารย์คิดว่าสองตัวอย่างนี้ก็น่าจะช่วยให้พวกคุณเข้าใจความหมายของกรรมได้อย่างดีแล้ว

Master LUONG MINH DANG. May 1996

KARMA
You asked what karma is? Let me explain. Let’s say you want to accomplish a job, you want to finish a research programme. it. the middle of the task you stop and you give up. Now, you come back to continue this task. Back then, you were all Atlanteans and you wanted to build a work to help humanity, but you had reached a dead end. Now, you reincarnated to pursue your work. At the moment, you may for example be a doctor, but you may not enjoy it and you become a tradesman. However, you came down here to practice medicine for 40 years. Since your occupation as a doctor did not pay well, at the end of 20 years you gave up. Well in your next life, you will have to practice medicine 20 more years in order to pay off the debt you contracted. As being a doctor did not pay, you gave up and went into trade. You thought this would do and you evaded your responsibilities. But after you die, you reincarnate and you have to learn medicine again and seive again 20 years more. That is karma. You must get to the end of your path. If you stop along the way,when you reincarnate, you must finish this path you started in the previous existence.

The problem of karma is a complex problem. It cannot be explained in detail. I am providing you with brief examples so that you understand what your karma is. For instance, now, you have money, you are the head of a bank. You grant loans to others and you force them to pay back their loans, except if they die. But when the person who is in debt dies, you confiscate his home to be reimbursed. Since you loaned him money, now you must get your money back. It is the same thing inversely, when you borrow money from others. You may think that by borrowing money from others you will not need to pay it back if you die. That is not true. In the next life, you will have to settle your debt. That is why some people are there, they do nothing and just enjoy wealth. They do not have to work, they do nothing at all. Money is given to them by some or by others; they get money from all sides because in the past they lent a lot of money and now their debtors are paying off their debts and now all they need to do is to collect that money and spend it. Those are two examples of karma.

There are other examples still but I am just giving you those two so that you realize what karma is. It is easier for you to understand it that way.

Let me finish. In Europe, there are a number of people who misuse my name.

They studied Level 3 only, but they teach Level 3 and Level 4 courses. But this cannot last. After a short time, everyone will know. Everyone will know where these teachings come from and who teaches them. It is clear everyone will know it and I pity those students.

But thanks to them, there will be new students who will come to join us, and whom we will be able to help. And those who were deceived will tell others and the others will come to our teachings. If they have not been deceived,they will not know it, but once they are deceived, they will know it and they will come to us to learn, they will become aware, and they will tell others about our teachings. It is a way for us to get publicity without having to generate it. It is dishonest students who generate publicity for us. Therefore, we are the ones using them.

They benefit very little from it, and not only that, but in the future, they will be exhausted, drained in terms of Energy.

ใช้วิธีการหลอกลวงดังกล่าว เพื่อเป็นช่องทางหาเงิน ในกรณีของการสอนวิชาพลังจักรวาล ลูกศษย์ของอาจารย์หลายคนที่เป็นคนฉลาด พวกเขาเปิดสอนวิชาพลังจักรวาลโดยไม่เก็บค่าเรียนแต่อย่างใด แต่หลังจากที่จบชั้นเรียนแล้ว พวกเขาจะขอรับบริจาคจากนักเรียน โดยอ้างว่าถ้านักเรียนคนไหนไม่บริจาคเงินช่วยเหลือ นักเรียนคนนั้นก็จะไม่มีพลังจักรวาล

อาจารย์ได้ทราบข่าวเช่นนี้ในหลายกรณี ที่ประชาชนถูกหลอกลวง ลูกศษย์ของอาจารย์หลายคนในหลายประเทศใช้วิธีการหลอกลวงดังกล่าว เพื่อเป็นช่องทางหาเงิน พวกเขาพยายามหลอกลวงคนเวียตนามที่อยู่ในประเทศนั้นๆ พวกเขาทำรูปภาพปลอมของอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งวิชาพลังจักรวาล
นักเรียนจึงถามว่าในเมื่อพระเรียนจบระดับ3 แต่ทำไมพระจึงสามารถสอนระดับ4 และระดับ5ได้

พระรูปหนึ่งก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ด้วยอาจารย์ต้องยอมรับว่า พระรูปนั้นมีความกล้าหาญมาก เขาเปิดสอนวิชาพลังจักรวาล และนักเรียนในชั้นถามว่า เขาเรียนวิชาพลังจักรวาลมาจากใคร พระตอบว่า เขาเรียนมาจากอาจารย์ใหญ่ เลือง มินห์ ด๋าง ในอเมริกาและเรียนจบระดับ 3 นักเรียนจึงถามว่าในเมื่อพระเรียนจบระดับ 3 แต่ทำไมพระจึงสามารถสอนระดับ 4 และระดับ 5 ได้ ในที่สุดพระรูปนั้นก็ต้องหนีไป นี่เป็นกรณีหนึ่งเท่านั้น

เรื่องเล่าจาก…อาจารย์ใหญ่ เลือง มินห์ ด๋าง
การสัมนาวิชาพลังจักรวาล ระดับ 5.2
26-30 ธันวาคม 2541
เซ็นหลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

คนที่ดีแล้วเราไม่ต้องช่วยเขาก็ได้ ช่วยเขาทำไมอีกเมื่อเขาเป็นคนดีแล้ว เราจะช่วยให้คนที่ไม่ดีกลายเป็นคนดี นี่จะเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำ ถ้าเขายังไม่ได้เรียนรู้ปฏิบัติธรรมทางจิตวิญญาณ เราก็จะช่วยเขา นี่คือบุญที่เราจะได้รับมหาศาล เพราะฉะนั้นเมื่อเราเรียนรู้ในวิชาพลังจักรวาลแล้ว เรารู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี เราก็ช่วยเขาด้วยความสามารถที่ท่านมีอยู่ ทำให้เขากลายเป็นคนดี นั่นบุญที่ท่านจะได้ ท่านก็จะไม่มีบาปอะไรทั้งนั้น

ถ้าท่านมีความผิดบางอย่าง แต่เมื่อท่านช่วยให้วิญญาณหนึ่งได้ไปเกิด หรือถ้าท่านสามารถช่วยให้คนๆหนื่งได้เข้ามาปฏิบัติธรรมทางจิตวิญญาณ นั่นก็คือบุญที่ท่านได้มหาศาล ก็สามารถที่จะลดสิ่งที่ท่านได้ผิดพลาดไป แล้ววิญญาณชองท่านก็จะสูงขึ้นตามลำดับ นั้นคือตัวอย่างที่ผมอยากจะให้ทุกท่านได้เข้าใจ

คำสอนอาจารย์ด๋าง
ในการสัมนาพลังจักรวาล ระดับ 7
วันที่ 22-26 กุมภาพันธ์ 2544
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์

ทำไมวิญญาณที่จะมาเกิดใหม่ เกิดได้บ้าง เกิดไม่ได้บ้าง ทั้งนี้ทุกวิญญาณจะต้องกลับมาเกิดทั้งสิ้น เพียงแต่จะเกิดที่ใด เมื่อใด นั้นอยู่ที่กุศลกรรม พวกเรามีจักระ 100% เมื่อตาย จะไปเกิดทันที เพราะได้ทำบุญกุศล ช่วยเหลือมวลมนุษย์มามาก มากขึ้นๆ ตัวท่านเองในภายหน้าแทบจะรู้ได้เลยว่าจะไปเกิดที่ใด

คำสอนอาจารย์ด๋าง
ในการสัมนาพลังจักรวาล ระดับ 5
วันที่ 4-8 เมษายน 2539 ณ ปริ๊นพาเลซ มหานาค

เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อทุกๆคน ทุกประเทศ ทุกเชื้อชาติ ทุกสังคมชนชั้น รวยหรือจน ทุกยุค แต่ไม่มีใครสักคนที่จะตอบคำถามนี้ได้ จริงๆ เคยมีคนตอบคำถามนี้มาแล้ว แต่ไม่มีใครเข้าใจและปฏิบัติตามได้

โดยข้อเท็จจริงแล้ว ความสุขเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรับรู้ได้ ความสุขของคนๆหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากเสียแล้ว ความสุขของคนทั้งชายและหญิง สามีและภรรยาก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเวลานานสัก 1 เดือน 1 ปี สำหรับเรื่องความสุขแล้วไม่ง่ายนักที่จะรับรู้และเข้าใจได้ ความสุขร้อยปีก็เป็นแค่ความปราณรถนา ที่ไม่เคยมีใครได้ประสบเลยสักคนเดียว หนึ่งร้อยปีแห่งความสุขก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่ฝันว่าจะได้มีความสุขเท่านั้น ความสุขต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานและภายนอก เช่น ร่างกาย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม การประพฤติปฎิบัติ ประเทศ เชื้อชาติ และภาษา เป็นต้น และองค์ประกอบภายใน เช่น ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะมองว่าเป็นปัจจัยด้าน จิตวิญญาณ

คนส่วนใหญ่เมื่อพูดเรื่องความสุข เช่น ในกรณีของการแต่งงาน ความสุข ระหว่างสามีและภรรยา คู่สมรส เพื่อทำให้ทั้งคู่ได้มีความสุข พวกเขาจะต้องรู้จักผสมกลมกลืนทั้งทางด้านร่างกาย คุณลักษณะ ความรัก ความรู้สึก ความชอบ ทัศนคติ ขนบธรรมเนียม ประเพณี นิสัย ความต้องการ ความปรารถนา ฯลฯ ยิ่งมีความสามารถในการผสาน ภายในครอบครัวของคุณอาจเปราะบางไม่แข็งแรงนัก เริ่มจากสิ่งที่รำคาญบางอย่าง เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่เราไม่เคยเฉลียวใจ ซึ่งอาจเป็นเรื่อง ก้อนอิฐ ประตู รั่วบ้าน สามีภรรยาอาจมีปากเสียงกัน พ่อและลูกอาจไม่ลงรอยกัน ถ้าเราให้ความรักแก่ลูกมากขึ้น ดูแลเอาใจใส่พวกเขาดีขึ้น แสดงความรักต่อพวกเราด้วยความจริงใจแล้ว พวกเราจะรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น

เมื่อพูดถึงการรักตนเอง คนเรานึกว่าเป็นเรื่องง่ายๆ บางคนคิดว่าการรักตนเองเป็นการเห็นแก่ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใชเช่นนั้น การรักตนเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้อย่างง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมากๆ เอาแค่เรื่องรักร่างกายของตนเองก็เป็นเรื่องที่ทำยากเสียแล้ว จงหัมามองเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของนักร้องยอดนิยม ไมเคิล แจ็คสัน เขาเป็นคนที่ไม่รักตัวเขาเอง เขาไม่ต้องการมีรูปลักษณ์อย่างใบหน้าของเขา เขาไม่รักสีผิวของเขา เขาพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่กว่ามาแล้ว ผลก็คือใบหน้าของเขาเสียโฉม ร่างกายและผิดหนังของเขาได้รับอันตรายเสียหาย เราคงจะไม่ต้องทำอย่างไม่เคิล แจ็คสัน รหือจะทำก็ได้ แต่ให้ระวังความคิดของพวกคุณก็แล้วกันว่า อย่าให้เหมือนกับความคิดของไมเคิล แจ็คสัน พวกเราอาจไม่ค่อยชอบใบหน้าของตนเอง รูปทรงเรือนร่างของตนเอง สีผิวของตนเอง ชาติกำเนิด ภาษา พ่อแม่ ฯลฯ นั่นหมายความว่า พวกเราไม่ได้รักตนเอง และที่สุดพวกเราก็จะเป็นทุกข์

ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ไม่รักตนเองอีกมากมายนับจำนวนไม่ถ้วน พวกเราอาจไม่รักสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น ของสามีภรรยา ของลูกๆ พี่ชายและน้องสาวของเรา เพื่อนของเรา ชื่อของเรา ยศตำแหน่งของเรา เงินทองของเรา รถของเรา ประเทศของเรา ศาสนาของเรา วัฒนธรรมของเรา เป็นต้น ผลที่สุดเราก็อาจเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข ถ้าเราอยากจะมีความสุขเราต้องทำในสิ่งที่กลับกัน เราต้องให้ความรัก และรักทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเราจะต้องทำตัวอยู่ในสภาวะที่ปลอดโปร่ง สดใส พวกเราต้องไม่ตาบอด โง่ รักอย่างบ้าคลั่ง แต่รักด้วยปัญญา

ทำไมในเมื่อเรารักตนเองแล้ว เราต้องไม่รักเฉพาะผู้อื่นเท่านั้น หากแต่ยังต้องรักทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ก็เพราะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่คนๆเดียว โดดเดี่ยวต่างหาก เช่น สิงโต พวกมันไม่สามารถแยกันอยู่ตามลำพัง ถือสันโดษและยิ่งไปกว่านั้นสิงโตยังต้องต่อสู้กับมนุษย์ หรือรักเกียจสัตว์อื่น มนุษย์ต้องการแลกเปลี่ยน ให้ความร่วมมือกันและมนุษย์จะต้องสู้กับความหว้าเหว่ เงียบเหงา คนเราจะมีทุกข์เพราะความเหงา โดยลำพังตนเองแล้ว มนุษย์ไม่สามารถที่จะพัฒนาขีดความสามารถใดๆได้ เพราะเหตุนี้พวกเราจึงต้องขอบคุณสังคมที่เราอยู่อาศัย ยิ่งมีผู้คนมากเท่าไร พวกเราก็ยิ่งต้องมีการติดต่อกัน เพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าตามที่พวกเราต้องการ

ความสุขของพวกเราจะเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นหลายเท่า ไม่เพียงแต่พวกเราจะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่พวกเรายังรัก ต้นไม้ พืช ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์โลกทุกสายพันธุ์ด้วย ถ้าพวกเรามีความรุ้สึก เป็นสุขที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงในยามเช้า และยามบ่าย ได้ยินเสียงนกร้อง ได้เห็นปุยเมฆลอยอยู่ในท้องฟ้า ได้ทอดสายตามองไปยังภูเขาสูงหรือมหาสมุทรกว้างใหญ่ ได้เห็นความงามของบุปผชาติ ผีเสื้อสีสวยงาม เมื่อพวกเรารู้สึกประทับใจในภาพวาดศิลปะ บทประพันธ์ภาพยนต์ เมื่อพวกเรารู้สึกร่าเริงชื่นชมในเสียงกระแสน้ำไหลริน เสียงน้ำกระฉอก เมื่อพวกเราชื่นท้องฟ้า ดวงจันทร์และดวงดาว รักและสนุกกับเสียงดนตรี พวกเราก็ระลึกได้ว่าโลกนี้แท้จริงก็คือ สวรรค์นั่นเอง เป็นของขวัญที่พิเศษสุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ได้มอบให้แก่มนุษยชาติ สวรรค์ก็มิใช่ที่อื่นใดที่พวกเราฝันถึงหรือเสาะแสดงหากัน

พลังจักรวาลขั้นต้น เป็นบทเรียนพัฒนาจิตด้วยการรักษาโรค บททดสอบที่ดี ที่ได้ผลที่สุดก็คือ ความเจ็บป่วยโดยผู้เรียนจะต้องมุ่งมั่นตั้งใจส่งพลังรักษาด้วยวิชาที่ได้เรียนมา จึงจะสำเร็จแบบทดสอบที่ได้รับ จะต้องใช้ความรู้ที่ได้เรียนมา ฝึกฝนส่งพลังจนสำเร็จจะได้รู้ว่าพลังจักรวาลใช้ได้จริงหรือไม่ เหมือนพี่น้องพลังจักรวาลทั่วโลกนับล้านคนได้ฝึกจนประสบความสำเร็จแล้วครับ

คนทั่วไปส่วนใหญ่ชอบเรียนบทเรียน สุขๆ สบายๆ ง่ายๆ ไม่ชอบบทเรียนยากลำบากศิษย์พลังจักรวาลขั้นต้น ในระยะฝึกฝนแรกๆ อาจจะเรียนความทุกข์ ความเจ็บป่วยยากลำบากเล็กๆก่อน แต่ถ้าจะเรียนต่อในระดับสูงขึ้น บทเรียนก็จะเข้มข้น ตามชั้นเรียน แต่จะแปลกแตกต่างเหมาะสมไปตามสภาพ
ระดับความรู้แจ้ง และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้นแต่ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล ก่อนอื่นสิ่งแรกที่ต้องฝีกคือ ตัดความกลัวออกไปให้เหลือน้อยที่สุด

“เบื้องบนให้บทเรียน บททดสอบ และให้คำเฉลยพร้อมความสามารถพิเศษแก่เราแล้ว ” เราต้องพัฒนาเพื่อความรู้แจ้ง

“เบื้องบนไม่สัญญาอะไร แต่ท่านจะไม่ทอดทิ้งเรา”
คนที่ประสบความสำเร็จในวิชาพลังจักรวาล ไม่ได้ฝึกวันสองวัน เดือนสองเดีอน

แต่ละท่านฝึกเป็นปีๆ และได้ผ่านการทดสอบกันมาอย่างแสนสาหัส และจบสิ้นลงด้วยความ
สุขใจ และภาคภูมิใจ

ที่ผ่านพ้นสำเร็จมาได้นั้น ด้วยกำลังใจที่ว่า เบื้องบนไม่สัญญาอะไร แต่ท่านจะไม่ทอดทิ้งเรา
อาจารย์ใหญ่เลีองมินห์ด๋าง และเบื้องบนอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือเราเสมอไม่มีใครตกต่ำ หรือสูญเสียอะไร

ทุกคนที่ฝึกเป็นขั้นเป็นตอน จะมีความสามารถ จิตได้พัฒนา มีจิตเมตตา เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน